พลังงานที่คุณใช้ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการตื่นนอน การหายใจ การเดิน การคิด หรือแม้แต่การนอนหลับมาจากไหน? ร่างกายมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนเครื่องจักรชีวภาพอันซับซ้อนที่ต้องการพลังงานงในการทำงานอย่างต่อเนื่อง เราจะพาคุณใช้พลังงานหลักและกลไกการสร้างพลังงานอันน่าทึ่งในร่างกายของเรา พร้อมไขความลับว่าทำไมการเข้าใจกระบวนการเหล่านี้จึงสำคัญต่อสุขภาพที่ดีและชีวิตที่มีพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมุ่งมั่นลดน้ำหนัก

1. ทำไมร่างกายเราต้องมีพลังงาน
ในทุกเสี้ยววินาทีของชีวิต ตั้งแต่หัวใจที่เต้นไม่หยุด ระบบประสาทที่ส่งสัญญาณ สมองที่ประมวลผล ไปจนถึงกล้ามเนื้อที่เคลื่อนไหว ทั้งหมดนี้ล้วนต้องอาศัย “พลังงาน” การที่ร่างกายของเราสามารถดำรงอยู่และทำกิจกรรมต่างๆ ได้นั้น เป็นผลมาจากกระบวนการทางเคมีอันซับซ้อนที่เรียกว่า เมตาบอลิซึม (Metabolism) ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนสารอาหารที่เราบริโภคเข้าไปให้กลายเป็นพลังงานที่เซลล์ต่างๆ สามารถนำไปใช้ได้
พลังงานเหล่านี้ไม่ได้มีไว้แค่สำหรับการเคลื่อนไหวภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการอยู่รอด (Basal Metabolic Rate หรือ BMR) เช่น การหายใจ การรักษาระดับอุณหภูมิร่างกาย การไหลเวียนโลหิต การซ่อมแซมเซลล์ และการทำงานของอวัยวะภายใน การขาดแคลนพลังงานที่เพียงพอส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ขาดสมาธิ และเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพต่างๆ มากมาย
2. สารอาหาร 3 หมู่ที่ให้พลังงาน
แหล่งพลังงานหลักที่สำคัญที่สุดสำหรับร่างกายของเรามาจากสารอาหารกลุ่ม “ให้พลังงาน” ซึ่งได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน โดยแต่ละชนิดจะถูกย่อยสลายและเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปแบบที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในรูปของ อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต
2.1 คาร์โบไฮเดรตพลังงานหลัก
คาร์โบไฮเดรตคือแหล่งพลังงานอันดับหนึ่งที่ร่างกายเลือกใช้เป็นอันดับแรก เพราะสามารถย่อยและดูดซึมไปใช้ได้รวดเร็วที่สุด เมื่อเราบริโภคคาร์โบไฮเดรต ไม่ว่าจะเป็นข้าว แป้ง ขนมปัง ผัก ผลไม้ หรือน้ำตาล ร่างกายจะย่อยสลายให้กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่เล็กที่สุด นั่นคือ กลูโคส (Glucose)

- กลูโคส (Glucose) เป็นน้ำตาลหลักที่เข้าสู่กระแสเลือดและถูกส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายเพื่อนำไปสร้าง ATP ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมองและระบบประสาทที่ต้องการกลูโคสเป็นพลังงานหลักในการทำงาน หากสมองขาดกลูโคส อาจทำให้รู้สึกมึนงง อ่อนเพลีย และประสิทธิภาพการคิดลดลง
- ไกลโคเจน (Glycogen) หากร่างกายได้รับกลูโคสเกินกว่าความต้องการ กลูโคสส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนไปเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจนในตับและกล้ามเนื้อ ไกลโคเจนทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองระยะสั้น เมื่อร่างกายต้องการพลังงานอย่างเร่งด่วน เช่น ในระหว่างการออกกำลังกาย หรือเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ไกลโคเจนจะถูกสลายกลับมาเป็นกลูโคสเพื่อนำไปใช้ต่อไป
- ไกลโคเจนในตับ มีบทบาทสำคัญในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
- ไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ เป็นแหล่งพลังงานเฉพาะสำหรับกล้ามเนื้อนั้นๆ ใช้ในการหดตัวและทำงานระหว่างการออกกำลังกาย
2.2 ไขมัน
ไขมันเป็นแหล่งพลังงานที่ให้พลังงานได้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน (1 กรัมของไขมันให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ขณะที่คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนให้ 4 แคลอรี่) ร่างกายจะดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานหลักเมื่อแหล่งพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเริ่มลดน้อยลง หรือในระหว่างการทำกิจกรรมที่มีความเข้มข้นต่ำแต่ใช้เวลานาน เช่น การเดิน หรือการนอนหลับ
- ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ไขมันส่วนใหญ่ที่เราบริโภคเข้าไปจะอยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งถูกย่อยสลายเป็นกรดไขมัน (Fatty Acids) และกลีเซอรอล (Glycerol) เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน กรดไขมันจะถูกส่งไปยังเซลล์เพื่อเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า เบต้าออกซิเดชั่น (Beta-oxidation) เพื่อสร้าง ATP
- ไขมันสะสม ร่างกายมีความสามารถในการเก็บสะสมไขมันได้ไม่จำกัดในรูปของเนื้อเยื่อไขมัน (Adipose Tissue) ซึ่งทำหน้าที่เป็นคลังพลังงานสำรองขนาดใหญ่ หากร่างกายได้รับพลังงานเกินความต้องการ พลังงานส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนไปเก็บในรูปของไขมัน ทำให้เกิดการสะสมไขมันและน้ำหนักเพิ่มขึ้น
- บทบาทอื่นๆ ของไขมัน นอกจากให้พลังงานแล้ว ไขมันยังมีความสำคัญต่อการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน (A, D, E, K) เป็นฉนวนกันความร้อน ปกป้องอวัยวะภายใน และเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์และฮอร์โมนหลายชนิด
2.3 โปรตีน
โปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงการผลิตเอนไซม์ ฮอร์โมน และสารภูมิต้านทาน แม้ว่าโปรตีนจะไม่ใช่แหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายเลือกใช้ในสภาวะปกติ แต่ในยามจำเป็น เช่น เมื่อร่างกายขาดแคลนคาร์โบไฮเดรตและไขมันอย่างรุนแรง (เช่น ในภาวะอดอาหารนานๆ หรือออกกำลังกายอย่างหนักโดยไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ) ร่างกายจะเริ่มสลายโปรตีน โดยเฉพาะจากกล้ามเนื้อ มาใช้เป็นพลังงาน
- กรดอะมิโน (Amino Acids) โปรตีนจะถูกย่อยสลายเป็นกรดอะมิโน ซึ่งสามารถนำไปผ่านกระบวนการ กลูโคนีโอเจเนซิส (Gluconeogenesis) ในตับเพื่อเปลี่ยนเป็นกลูโคส หรือเข้าสู่กระบวนการอื่นเพื่อสร้าง ATP ได้โดยตรง
- ข้อควรระวัง การที่ร่างกายสลายโปรตีนมาใช้เป็นพลังงานมากเกินไป ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เพราะจะนำไปสู่การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ
3. ATP ในไมโตคอนเดรีย
ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต ไขมัน หรือโปรตีน เมื่อถูกย่อยสลายแล้ว สารอาหารเหล่านี้จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการที่ซับซ้อนภายในเซลล์เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปของ ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่เก็บพลังงานสูงและสามารถปลดปล่อยพลังงานออกมาได้อย่างรวดเร็วเมื่อเซลล์ต้องการ
กระบวนการหลักในการสร้าง ATP เกิดขึ้นภายในออร์แกเนลล์เล็กๆ ที่เรียกว่า ไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งมักถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “โรงไฟฟ้าของเซลล์”
- การหายใจระดับเซลล์ (Cellular Respiration) เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนที่เกิดขึ้นในไมโตคอนเดรีย โดยอาศัยออกซิเจนเป็นหลัก (Aerobic Respiration) เพื่อสลายกลูโคส (หรือสารตั้งต้นจากไขมันและโปรตีน) ให้กลายเป็นพลังงาน ATP พร้อมกับปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นผลพลอยได้
- ไกลโคไลซิส (Glycolysis) ขั้นตอนแรกของการสลายกลูโคส เกิดขึ้นในไซโทพลาซึมของเซลล์ ไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจน ให้ ATP จำนวนเล็กน้อยและสร้างสารตั้งต้นสำหรับขั้นตอนต่อไป
- วัฏจักรเครบส์ (Krebs Cycle / Citric Acid Cycle) เกิดขึ้นในไมโตคอนเดรีย อาศัยออกซิเจน สร้างสารพลังงานสูงที่นำไปใช้ในขั้นตอนสุดท้าย
- ระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน (Electron Transport System) เป็นขั้นตอนสุดท้ายและเป็นส่วนที่สร้าง ATP ได้มากที่สุด โดยใช้ออกซิเจนเป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย
- ระบบพลังงานฉุกเฉิน ระบบฟอสฟาเจน (Phosphagen System) นอกจากการหายใจระดับเซลล์แล้ว ร่างกายยังมีระบบพลังงานที่สามารถนำมาใช้ได้ทันทีในระยะเวลาสั้นๆ (ประมาณ 1-15 วินาที) สำหรับกิจกรรมที่ต้องใช้แรงระเบิดสูง เช่น การวิ่งเร็วสุดกำลัง หรือการยกน้ำหนักสูงสุด ระบบนี้จะใช้สารที่เรียกว่า ครีเอทีนฟอสเฟต (Creatine Phosphate) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน ATP ที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อ เมื่อ ATP ถูกใช้ไป ครีเอทีนฟอสเฟตจะบริจาคหมู่ฟอสเฟตให้ ADP (Adenosine Diphosphate) กลายเป็น ATP ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ระบบนี้มีขีดจำกัดในการสะสม ทำให้หมดลงอย่างรวดเร็ว
4. การจัดการพลังงานในชีวิตประจำวัน
การเข้าใจว่าพลังงานในร่างกายมาจากไหน ทำให้เราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้มีพลังงานเพียงพอต่อการใช้ชีวิตและกิจกรรมต่างๆ
4.1 พลังงานที่จำเป็นต่อการลดน้ำหนัก แคลอรี่ที่เหมาะสมไม่ใช่แคลอรี่ที่ต่ำที่สุด
สำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก การเข้าใจเรื่องพลังงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หลักการพื้นฐานคือ “การสร้างภาวะขาดดุลพลังงาน (Calorie Deficit)” นั่นคือ การบริโภคพลังงาน (แคลอรี่) ให้น้อยกว่าที่ร่างกายใช้ไปในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายดึงพลังงานสำรอง (ไขมันสะสม) ออกมาใช้ อย่างไรก็ตาม การลดแคลอรี่มากเกินไปเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและอาจเป็นอันตราย
- อย่าลดแคลอรี่ต่ำเกินไป การลดแคลอรี่อย่างฮวบฮาบอาจทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ “จำศีล” (starvation mode) ซึ่งจะลดอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานลง เพื่อประหยัดพลังงาน ส่งผลให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้ยากขึ้นและอาจเกิดอาการโยโย่ตามมาได้
- รักษาสมดุลของมาโครนิวเทรียนท์ (Macronutrients) แม้จะต้องลดแคลอรี่ แต่การได้รับคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนในสัดส่วนที่เหมาะสมยังคงเป็นสิ่งสำคัญ
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ยังคงจำเป็นสำหรับการให้พลังงานแก่สมองและกล้ามเนื้อ เลือกข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท หรือผัก ผลไม้ที่มีใยอาหารสูง เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่และลดความอยากอาหาร
- ไขมันดี ไม่ควรงดไขมันทั้งหมด เพราะไขมันดีมีความจำเป็นต่อการทำงานของฮอร์โมนและการดูดซึมวิตามิน ควรเลือกจากแหล่งธรรมชาติ เช่น อะโวคาโด ถั่ว เมล็ดพืช และปลา
- โปรตีนสูง การเพิ่มสัดส่วนโปรตีนในอาหารเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดน้ำหนัก เพราะโปรตีนช่วยให้อิ่มนานขึ้น ลดความอยากอาหาร และที่สำคัญที่สุดคือช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อในขณะที่เราลดน้ำหนัก กล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงานสูง การมีกล้ามเนื้อมากจึงช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน (BMR) ของร่างกาย ทำให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การประมาณการพลังงานที่ต้องการ คุณสามารถคำนวณอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน (BMR) และพลังงานที่ใช้ในกิจกรรมประจำวัน (TDEE – Total Daily Energy Expenditure) เพื่อหาค่าแคลอรี่ที่เหมาะสมสำหรับการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและยั่งยืน โดยปกติแล้ว การลดประมาณ 500-750 แคลอรี่ต่อวันจาก TDEE จะช่วยให้น้ำหนักลดลงประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
4.2 เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อการจัดการพลังงานและลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ
- บริโภคคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอย่างเพียงพอ เลือกข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท หรือธัญพืชไม่ขัดสี เพื่อให้ร่างกายได้รับกลูโคสอย่างต่อเนื่องและรักษาระดับพลังงานให้คงที่ตลอดวัน หลีกเลี่ยงน้ำตาลเชิงเดี่ยวหรืออาหารแปรรูปที่ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงและตกฮวบอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่อาการอยากอาหารและสะสมไขมัน
- เลือกไขมันดี บริโภคไขมันจากแหล่งที่มีประโยชน์ เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถั่ว และปลา เพื่อให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นและมีแหล่งพลังงานสำรองที่ดี พร้อมทั้งช่วยให้อิ่มนานขึ้น
- รับโปรตีนให้เพียงพอ (ย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญ) โปรตีนจำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงานสูง การมีมวลกล้ามเนื้อที่แข็งแรงช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานของร่างกาย ทำให้ร่างกายดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงานได้ดีขึ้น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการทำงานของไมโตคอนเดรียในเซลล์ ทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการผลิต ATP มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบการเผาผลาญพลังงานทำงานได้อย่างสมดุล ไม่ว่าจะเป็นการใช้คาร์โบไฮเดรตหรือไขมัน และที่สำคัญคือ ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ส่วนเกิน
- ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Aerobic) ช่วยเพิ่มความทนทานของระบบหายใจและไหลเวียนเลือด ทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปสร้าง ATP มีประสิทธิภาพ และยังช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี
- เวทเทรนนิ่ง (Strength Training) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนลดน้ำหนัก เพราะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานขณะพัก ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้แม้ไม่ได้ทำกิจกรรม
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเติมเต็มพลังงานสำรอง การอดนอนส่งผลให้ระดับฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหารและพลังงานผิดปกติ (เช่น ฮอร์โมนเกรลินที่เพิ่มความอยากอาหาร และเลปตินที่ลดความรู้สึกอิ่ม) ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและอยากอาหารเพิ่มขึ้น
- จัดการความเครียด ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งอาจรบกวนกระบวนการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าได้ง่าย และยังส่งผลต่อการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องอีกด้วย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์และมีบทบาทในกระบวนการเมตาบอลิซึมเกือบทั้งหมด การขาดน้ำเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลกระทบต่อระดับพลังงานและความกระปรี้กระเปร่าของร่างกายได้ และยังช่วยให้รู้สึกอิ่มได้ชั่วคราว
5. เมื่อพลังงานไม่สมดุล
การที่ร่างกายได้รับพลังงานไม่เพียงพอหรือไม่สมดุล อาจส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น
- อ่อนเพลียเรื้อรัง รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา แม้จะพักผ่อนแล้ว
- ขาดสมาธิและความจำลดลง สมองไม่ได้รับกลูโคสเพียงพอในการทำงาน
- หงุดหงิดง่าย ระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่คงที่ส่งผลต่ออารมณ์
- ภูมิต้านทานต่ำ ร่างกายขาดพลังงานในการผลิตเซลล์ภูมิต้านทาน
- น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงผิดปกติ อาจเกิดจากการเผาผลาญพลังงานที่ผิดเพี้ยนไป
- กล้ามเนื้อลีบลง โดยเฉพาะในผู้ที่ลดน้ำหนักผิดวิธีและไม่ได้รับโปรตีนเพียงพอ
หากคุณพบว่าตนเองมีอาการเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเส้นทางการลดน้ำหนัก การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ร่างกายของเราเป็นระบบที่น่าอัศจรรย์ในการสร้างและจัดการพลังงาน การเข้าใจว่าพลังงานมาจากไหน และกระบวนการใดบ้างที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้เราสามารถดูแลร่างกายได้อย่างถูกวิธี สำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานที่ได้รับและพลังงานที่ใช้ไปเป็นกุญแจสำคัญ การเลือกรับประทานอาหารที่ครบถ้วนและสมดุล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พร้อมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียด ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เรามีพลังงานเต็มเปี่ยม พร้อมรับมือกับทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน และสร้างสรรค์ชีวิตที่มีคุณภาพได้อย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่เสียสุขภาพ